ค้ดจากคอลัมน์
'หมายเหตุอุดมสาร'
อุดมสาร ฉบับที่ 29 :17-23 ก.ค. 2548
ขอเสนอบทความอันจะทำให้เราไม่ตื่นเต้นไปกับปรากฏการณ์ของหนังสือเล่มหนึ่งที่สร้างความเข้าใจผิดๆ
ต่อคริสตศาสนาของเรา ส่วนจะเป็นหนังสือเล่มใดก็ค้นหากันในส่วนที่บทความหมายถึงอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
... บรรณาธิการบริหาร
มีหนังสือที่โด่งดังพิมพ์ออกมาเล่มหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อมีผู้นำมาแปลเป็นภาษาไทย ก็เลยทำให้กลายเป็นประเด็น วิพากษ์วิจารณ์กันในประเทศไทยไปทั่วทุกวงการ
แต่ไม่ว่าจะเป็นวงการใดก็ตาม ผลของมันก็กระทบกระเทือนต่อคริสตศาสนา เข้า
โดยตรง แม้ว่าจะกระทบไม่มาก แต่เพื่อช่วยให้พี่น้องคริสตชนได้พิจารณาโดยมีหลักไว้บ้าง
ก็คงจะเป็นประโยชน์ในแง่ ความมั่นคงแห่งความเชื่อ พ่อขอทำหน้าที่ตรงนี้เพื่อให้ข้อคิดที่ครอบคลุมกว้างๆ
เพื่อว่ายามใดที่พี่น้องได้อ่านหรือที่ได้ยินเขาพูดกัน จะได้เกิดความเข้าใจและสามารถแยกแยะเหตุและผลได้ในประเด็นต่างๆ
แต่ในที่นี้พ่อคงจะของดเว้นไม่กล่าวชื่อหนังสือเล่มนี้ไว้ในที่นี้ เผื่อว่าคริสตชนคนใดไม่รู้เรื่องนี้เลยจะได้ปล่อยให้ผ่านไป
เพราะจริงๆ แล้วก็เป็นสิ่งไม่จำเป็นต้องเอามาคิด แต่สำหรับคนที่เคยอ่าน
หรือเคยได้ยินมาแล้ว เมื่ออ่านที่พ่อจะเขียนต่อไปนี้ ก็ย่อมจะรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงหนังสือชื่ออะไร
หลักในการพิจารณาหนังสือต่างๆ มีดังนี้คือ
1.นวนิยาย ต่างจากหลักฐานระดับต่างๆ
ทางประวัติศาสตร์ :
หนังสือนิยายหรือนวนิยายก็เป็นวิธีเขียนแบบหนึ่ง แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
ผู้รู้ไม่ควรเอามาปะปนกัน หนังสือนวนิยายจะแต่งเองอย่างไรก็ได้ตามแต่จินตนาการจะเนรมิตเองขึ้นมาเขียน
เพื่อให้อ่านสนุกและมีบทสอนใจคนได้ดีพอสมควร แต่หนังสือที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นไม่อาจใช้วิธีเขียนด้วยการจินตนาการ
เพราะมุ่งจะเสนอแต่ความจริงที่เกิดขึ้นล้วนๆ และต้องมีหลักฐานทางโบราณคดีกำกับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อเราไปซื้อหนังสือที่กำลังเป็นที่นิยมมาอ่าน
เราก็ต้องดูให้รู้ก่อนว่า หนังสือเล่มนั้นเป็นนวนิยายหรือเป็นหนังสือบันทึกหลักฐาน
ทางประวัติศาสตร์กันแน่ เราจะได้รู้ว่าเนื้อหาทั้งหมดของหนังสือนั้นเราเชื่อได้แค่ไหน
เช่นเราอ่านหนังสือเล่มนั้นๆ ว่า แม่พระมีลูกหลายคน และมารี มักดาลาเป็นภรรยาของพระเยซูหรือเป็นชู้รักไปเลย
หนังสือนวนิยายย่อมเขียนได้ทั้งนั้น ถ้าจะมีอะไรอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ประกอบมาด้วย
ผู้รู้จริงก็ต้องพิจารณาอีกขั้นหนึ่งว่า หลักฐานนั้นๆ เป็นหลักฐานในระดับใด
อยู่ในระดับที่นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ใช้อ้างหรือเชื่อถือเพียงใด ถ้าเราอ่านโดยสามารถมีวิจารณญาณได้เช่นนี้
เราจึงจะพบความจริงที่ไว้ใจได้จากสิ่งที่เราอ่านในหนังสือเล่มนั้น จึงไม่เกิดคำถามต่างๆ
นานาที่ไร้สาระขึ้นในชีวิต
2.กลวิธีของนวนิยาย
:
การเขียนนิยายนั้นต้องมีกลวิธีเขียนให้น่าสนใจและน่าติดตามอ่าน มิฉะนั้นก็ขายไม่ออก
และไม่มีใครนิยมจะอ่านซ้ำหรือเก็บไว้เป็นสมบัติอันมีค่าของนักอ่าน ผู้เขียนนิยายทุกคนมุ่งเพื่อให้หนังสือของตนประสบความสำเร็จ
มีคนซื้อมากมาย อันหมายถึงเขาจะได้เงินมหาศาลจากสิ่งที่เขาเขียนนั้น และบ่อยครั้งที่ผู้เขียนคิดถึงแต่ข้อนี้ที่เป็นผลประโยชน์ของเขาคนเดียว
โดยมิได้คำนึงว่าจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียอะไรบ้าง เพื่อจะได้รับความนิยมและได้เงินมาก
ผู้เขียนทุกคนจึงต้องค้นหาประเด็นที่จะทำให้ผู้อ่านและสังคมฮือฮาให้ได้
และนำมาผูกโยงเป็นเรื่องเป็นราวให้เข้ากัน ภาษาไทยเรียกว่า การจับแพะชนแกะ
คนในสังคมชอบเรื่องหรือประเด็นคาวๆ ที่สนองความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดาของสัตว์โลกมนุษย์
นอกจากให้อ่านเอาเพลินๆ แล้วยังสามารถเป็นประเด็นร้อนให้ผู้ที่อ่านนำไปเสวนาพูดคุยหรือเล่าสู่กันฟังในวงสนทนายามว่าง
ทำให้กระจายความนิยมออกไปจนผลักดันให้อีกหลายๆ คนต้องเสียเงินไปซื้อมาอ่านบ้าง
เราจะเห็นว่ากลวิธีของผู้เขียนนิยายก็จะบรรลุเป้าประสงค์ของเขาดังกล่าว
แล้วประเด็นอะไรเล่าจะมีลักษณะเขย่าสังคมหรือโลกทั้งใบได้? ก็ต้องเสนอนิยายที่เขย่าคนหมู่มากได้อย่างทะลุทะลวง
กับเนื้อหาที่บุกเข้าไปกระทบความละเอียดอ่อนในหัวใจและวิญญาณของคนได้อย่างลึกสุด
เช่น ประเด็นชีวิตส่วนตัวของคนสำคัญๆ ในสังคมหรือในโลก หรือไม่ก็ประเด็นทางศาสนาและบุคคลทางศาสนา
ถ้าจะให้ตรงเป้าและก่อเกิดผลอย่างชะงัดตามกลวิธีของนิยาย ต้องเล่นที่ตัวองค์ศาสดาเลย
เป็นต้น และหนังสือเล่มดังกล่าวก็ทำเช่นนี้ด้วย ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
พระเยซูในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่ผลิตกันมานักต่อนักแล้ว ที่สร้างขึ้นมาตามพระคัมภีร์ก็มี
ที่สร้างขึ้นมาตามกลวิธีที่กล่าวถึงนี้ก็มาก เราดูแล้วรู้จักแยกแยะได้หรือไม่ว่าฉบับไหนมีจุดประสงค์เพื่ออะไร?
ถ้าเราแยกไม่ออก เราจะมีคำถามเลอะเปรอะไปหมด เราก็กำลังตกเป็นเหยื่อของคำว่านิยายที่มาสั่นคลอนความเชื่อโดยใช่เหตุ
เราอาจไม่ต้องไปควบคุมคนอื่นที่จะหาเงินของเขา แต่เราสามารถควบคุมตัวเราได้
และยังสามารถตีคุณค่าหนังสือหรือหนังนั้นๆ ว่าควรอยู่ในระดับใด
พี่น้องทราบหรือไม่ว่าวิธีคิดของนักเขียนนิยายขายเอารวยทั้งหลายแหล่เขาถือคติประจำใจว่า
ยิ่งเขียนนิยายให้คนอ่านเชื่อว่าเป็นความจริงได้มากเท่าไหร่ก็เท่ากับเขาประสบความสำเร็จเท่านั้น...ให้พี่น้องจำเอาไว้เสมอนะครับ
3.การใช้วิจารณญาณของเราเอง
:
มีเพื่อนพระสงฆ์ของพ่อองค์หนึ่งเปรียบเปรยว่า เมื่อคุณอ่านหนังสือหรือดูหนังเรื่องจูราสสิค
ปาร์ค (Jurassic Park) จะเป็นภาคไหนก็ได้ หรือทุกภาคเลยยิ่งดี ในเนื้อหาของหนังที่สร้างมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เล่าว่า
มนุษย์และความก้าวหน้าทางวิชาพันธุกรรม เขาสามารถนำเอาเลือดเก่าแก่ที่แห้งมาเป็นล้านๆ
ปี มากระทำการกระตุ้นในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ อาศัยรหัสทางพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ)
จากเลือดเก่าแก่นั้น เราสามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่เป็นเจ้าของเลือดนั้นได้
ว่าแล้วเขาก็จินตนาการว่าได้เลือดไดโนเสาร์มาจากก้อนอำพัน อันเป็นยางไม้ที่เผอิญ
ไหลมากลบร่างของยุงโบราณที่ไปดูดเลือดจากไดโนเสาร์ ก่อนที่จะมาเกาะต้นไม้แล้วโดนยางไม้ไหลมากลบจนตายทั้งเป็น
ก้อนอำพันนั้นกลายเป็นฟอสซิล (สิ่งที่ทับถมที่คงสภาพซากโบราณไว้) คนในยุคปัจจุบันไปพบเข้า
เขาเอาเลือดจากตัวยุงนั้นในก้อนอำพันมากระตุ้นหาดีเอ็นเอ
และนำมาให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต กลายเป็นไดโนเสาร์ขึ้นมาในยุคของเรา ไดโนเสาร์มากมายหลายพันธุ์ก็เลยวิ่งกันวุ่นวายบนเกาะที่นักวิทยาศาสตร์ไปเช่าไว้
เพื่อการทดลองอันยิ่งใหญ่นี้ เมื่อกำแพงรั้วไฟฟ้าแรงสูงขัดข้อง เจ้าพวกไดโนเสาร์น่ากลัวเหล่านั้นก็หลุดออกมาและควบคุมมันไม่ได้
มันอาจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาบุกเมืองของเราก็ด้า..ย..ย..!!
พอคุณกลับมาบ้านหลังจากหนังจบ
คุณก็ไปร้านขายเหล็ก สั่งซื้อเหล็กเส้นขนาดใหญ่ที่สุดและหาช่างปูนมาก่อฐานแข็งแรงเพื่อยึดเหล็กให้เป็นกรอบโค้งคลุมบ้านของคุณไว้
และตอบเพื่อนบ้าน (ที่มิได้ดูจูราสสิค ปาร์ค) ว่า คุณกำลังสร้างกรงเหล็กแข็งแรงไว้กันไดโนเสาร์มาบุกบ้านของคุณ
เพราะไปดูหนังเรื่องจูราสสิค ปาร์ค มา แล้วเห็นว่าพวกไดโนเสาร์ในหนังมันหลุดออกมาจากที่ควบคุมออกไปวิ่งกันเพ่นพล่าน
คุณก็เลยต้องสร้างกรงเหล็กคลุมบ้านคุณไว้...ฮา!? ตัวอย่างที่น่าขบขันนี้เป็นข้อคิดที่ให้คำตอบอธิบายเกี่ยวกับหนังสือเล่มที่เป็นประเด็นร้อนอยู่ในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี
เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าเราใช้วิจารณญาณของเราเป็นหรือไม่ คนที่อยู่ในตัวอย่างนี้เขาแยกแยะและพิจารณาไม่ได้ว่าอะไรเป็นนิยายและอะไรเป็นความจริง
แน่นอนว่าเพื่อนบ้านจะต้องพากันงงและตลกขบขันกันไปทั่ว
หวังว่าถ้าท่านอ่านหนังสือเล่มที่กำลังพูดกันอยู่ตั้งแต่ต้น
หรือได้ยินเขาเล่ากันถึงเนื้อหาของมัน ท่านคงใช้วิจารณญาณของท่านได้อย่างถูกต้อง
คนเขาจะได้ไม่เห็นเราเป็นพวกปัญญานิ่มและตื่นตูม
พ่อยังจำได้ว่าในปี
1996 พ่อไปอเมริกากับเพื่อนพระสงฆ์อีก 3 องค์ เราไปเยี่ยมชมโรงถ่ายหนังยูนิเวอร์แซล
ในเมืองลอส แองเจลิส หลังจากเดิมชมอะไรมามากมายแล้ว ก็มาเห็นป้ายโฆษณาหนังเรื่องจูราสสิค
ภาค 2 ที่กำลังจะเข้าฉายในโรงทั่วโลกอีกราว 3 เดือนข้างหน้า มีอักษรตัวใหญ่โฆษณาความตื่นเต้นของหนังพาดขวางๆ
ไว้ในป้ายนั้นเป็นข้อความที่น่าสนใจว่า "แล้วคุณจะรู้สึกว่าดีแล้วที่พวกมัน
(ไดโนเสาร์) ยังอยู่แค่ในหนังเท่านั้น" เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งผู้สร้างหนังหรือผู้เขียนเรื่องเขาก็ยังบอกเราเป็นนัยๆ
อยู่ในทีว่า มันเป็นเพียงเรื่องไม่จริง...แต่ก็ยังมีคนคิดว่ามันเป็นจริงเฉกเช่นเดียวกับหนังสือที่พูดถึงพระเยซูเล่มดังกล่าว
เมื่อขาดวิจารณญาณไปเรื่องก็จะเป็นเช่นนี้แหละ
4.การลงลึกเข้าไปในการอุทิศเพื่อความจริงแท้
: ข้อนี้ต้องอาศัยมิใช่เพียงวิจารณญาณเท่านั้น แต่เลยล่วงเข้าไปอย่างลึกซึ้งถึงแก่น
ของความจริงในเรื่องหนังสือเล่มนี้ นั่นคือ ถ้าให้ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ที่โกยเงินมหาศาลจากการขายนิยายเรื่องนี้
ให้ออกมายืนยันต่อโลกและสาธารณชนทั้งมวลว่าเรื่องที่เขาเขียนทั้งเล่มหรือหลายเล่ม
(เขาเขียนเรื่องทำนองนี้อีกหลายเล่มก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
เขานำข้อด้อยของเรื่องก่อนๆ มาแก้ไขและเขียนใหม่เป็นเล่มนี้) นั้นล้วนเป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น
โดยให้เขายอมยืนยันด้วยการให้เอาเขาไปตรึงกางเขนแบบนักบุญเปโตร คือตรึงโดยเอาศีรษะทิ่มลงข้างล่าง
เราก็จะเห็นได้ทันทีว่าเขาจะกล้าหรือไม่กล้ายืนยันความจริงด้วยวิธีนี้
แต่เขาจะยอมทำอย่างบรรดาอัครสาวกที่เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูหรือไม่ ที่กล้ายืนยันความจริงเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูได้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ผู้เขียนบันทึกเรื่องพระเยซูที่ปรากฏเป็นพระวรสารที่พวกเราอ่านกันอยู่เสมอนั้น
เขายืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยกล้ายอมตายเพื่อยืนยันด้วยชีวิตของเขา
แล้วผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวเล่ากล้าไหม?
5.เหตุผลประกอบประสาชาวบ้าน
:
มีเรื่องจริงที่เล่ามาว่า ณ คริสตจักรโปรเตสแตนต์แห่งหนึ่งในเมืองไทยนี่แหละ
เมื่อหนังสือเล่มนี้ออกมาป่วนความเชื่อในหมู่ชาวคริสเตียน เขาสอนคริสตชนของเขาว่าในพระคัมภีร์พระธรรมเก่าเล่าเรื่องลูกๆ
ทั้ง 12 ของยากอบ ไว้ว่าใครได้รับคำอวยพรหรือคำสาปว่าอย่างไรบ้างจากยากอบผู้เป็นบิดา
เขาบอกว่าให้ไปเปิดพระคัมภีร์ดูก็จะพบว่าลูกคนที่ชื่อ ดาน เป็นลูกที่ยากอบแช่งเอาไว้!
พี่น้องทราบไหมครับว่าผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวที่เราพูดถึงในปัจจุบันนี้มาตลอดมีชื่อว่าอะไร?
เขาชื่อว่า แดน (Dan) (ส่วนนามสกุลไม่ขอบอก)
สะกดเป็นภาษาอังกฤษแล้วช่างตรงกับที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ตั้งแต่สมัยโบราณเสียจริง
เพียงแต่ออกเสียงต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น พ่อว่าก็จริงตามที่พี่น้องชาวโปรเตสแตนต์กล่าวไว้นะครับ
ที่พ่อไม่ออกชื่อหนังสือเล่มนี้ในหน้าสารวัดของเรา ก็ด้วยเหตุผลอีกหลายประการ
หนึ่งในนั้นก็คือ พ่อไม่ต้องการเป็นเหยื่อในการโฆษณาให้หนังสือเล่มนี้
ที่พูดชี้แจงมานี้ก็เท่ากับเสมือนการโฆษณาเข้าไปแล้ว แต่ก็ต้องจำใจทำ
6.ลำดับของเวลาและความต่างของสถานที่
:
ผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวมิใช่เพียงจับแพะชนแกะในเนื้อหาสาระเท่านั้น
ยังนำเอาแต่ละชิ้นของประวัติศาสตร์ที่เขาค้นคว้านำมาอ้างเพื่อความน่าเชื่อถือ
แต่นักประวัติศาสตร์อ่านแล้วก็สังเกตได้ชัดว่าเขาพลาดหรือแกล้งแอบเรื่องลำดับเวลากับสถานที่
จะตบตาได้แต่เพียงคนที่ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เท่านั้น เขาทำได้อย่างแนบเนียนก็จริง
แต่ก็ไม่แนบเนื้อไปเสียทั้งหมด ความมั่วจึงแพลมออกมาให้เห็นได้เช่น เขาพยายามอธิบายว่าสิ่งของบางอย่างที่เกี่ยวกับพระเยซูนั้นหายสาบสูญไปนานแล้ว
ต่อมาก็ปรากฏออกมา และนำสิ่งนี้มาอธิบายอ้างเอาว่าเป็นเรื่องจริง เช่น
การค้นพบกล่องบรรจุเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวพระเยซูในแง่อนาจารก็ดี หรือการพยายามอธิบายเรื่องจอกเหล้าองุ่นว่ายังรวมหมายถึงภาชนะที่เป็นจานใส่อาหารหรือผลไม้
ซึ่งในพระคัมภีร์ที่เขียนโดยอัครสาวกที่เป็นพยานอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น
ที่พระองค์รับประทานมื้อค่ำสุดท้ายกับพวกเขา ต่างก็ระบุว่าหมายถึงถ้วยที่ใช้ใส่เหล้าองุ่นเท่านั้น
เป็นต้น หรือโยงเรื่องพระเยซูให้ออกไปสู่ประเทศต่างๆ กว้างออกไปในยุโรป
โดยอ้างสถานที่ที่ไม่น่าเกี่ยวกับพระเยซูหรือศิษย์ของพระองค์เอาเลยก็มี
หลักฐานของเขาให้ความรู้สึกในใจพ่อว่ามันเป็นหลักฐานที่โค้งงออยู่ตลอด
โค้งงอด้วยการพยายามดัดเข้ามาหากันให้ได้
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมักจะตรงและเรียบง่ายไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามา จึงทำให้เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยคำอธิบายอันยาวเหยียด
ในขณะที่ผู้เขียนพระวรสารและพระธรรมใหม่เขียนความจริงอย่างห้วนๆ และกระชับมาก...ใครมีหูก็ฟังเอาเถิด
ป่านนี้ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คงนอนนับเงินไม่หวาดไม่ไหวอยู่อย่างมีความสุขที่ไหนสักแห่งในโลก
และคงกำลังวางแผนกลการเขียนนิยายเล่มถัดไปอยู่ แต่ไม่ว่าเขาหรือใครจะเขียนนิยายในรูปแบบไหนอีกก็ตาม
บทความในวันนี้ก็สามารถเป็นหลักใช้ชำแหละผลงานเหล่านั้นได้ตลอดไป
วันหนึ่งข้างหน้าอาจมีนักเขียนสักคนเขียนหนังสือสักเล่ม
ที่อาจมีชื่อเลียนแบบชื่อหนังสือเล่มนี้ของเขาก็เป็นได้ หนังสือเล่มที่เขียนใหม่นี้อาจมีชื่อหนังสือว่า
Unlocning Dan"s code และมีคนไทยแปลเป็นไทยในชื่อว่าถอดรหัสลับนายดาน...ฮา
พระเจ้าสถิตกับท่าน
คุณพ่อสุทศ ประมวลพร้อม
(คัดจากสารวัด "ซางตาครู้ส"
ฉบับใต้ร่มซางตาครู้ส 62)
Upload 8 Sep 2005