(1) จดหมายเปิดผนึกถึงพระสันตะปาปา
คัดจากอุดมสาร
ปี 29 ฉบับที่ 30 ประจำวันที่ 24-30 กรกฎาคม 2005 หน้า 15
(ป.ล.
อุดมสาร ขอเสนอว่า ควรอ่านด้วยการใช้วิจารณญาณ ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด แต่ควรจะพิจารณาสิ่งที่น่าสนใจไว้บ้าง
..... บรรณาธิการบริหาร)
กราบเรียนพระสันตะปาปา
ผมเป็นพระสงฆ์ลูกวัดในชุมชนชานเมืองแห่งหนึ่งของมุมไบ
(เมืองหลวงของรัฐมหาราช ทรา อินเดีย) มิสซาวันอาทิตย์ที่วัดนี้มักแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
แม้จะเป็นมิสซาในวันธรรมดา การทำนพวาร หรือกิจกรรมการสวดภาวนาในโอกาสต่างๆ
ตลอดทั้งปี ก็มีคนเข้าร่วมค่อนข้างมากเช่นกัน แต่ผมรู้สึกว่าชุมชนของเราค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับรูปแบบพิธีกรรมมากกว่าความเข้มแข็งของจิตวิญญาณ
เพราะว่าผมมองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณกับชีวิตประจำวันของคนเหล่านี้
บางทีการที่เป็นเมืองใหญ่
เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ๆ ทั่วไป ซึ่งมีประชากรโยกย้ายเข้าออกอยู่เสมอ ตลอดจนวิถีชีวิตและระบบคุณค่าที่เปลี่ยนแปลงไป
อาจทำให้ความรู้สึกว่าเป็นชุมชนไม่ค่อยดำรงอยู่จริง บ่อยครั้งกิจกรรมร่วมกันของครอบครัว
ก็กลายเป็นเพียงแค่การโอ้อวดกันภายในชุมชน แต่ท้ายที่สุดผมก็รู้สึกได้ว่ามีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ผูกพันกัน
และต้องการที่จะทำความรู้จักซึ่งกันและกัน
ขณะนี้เราเรียกตัวเองว่าชุมชนคริสตชน
(Christian Community) ซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ในเขตวัด ในบรรดากลุ่มเหล่านี้ที่ผมรู้จัก
มีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่พบปะกันในบางโอกาส เพื่อร่วมในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณและรับประทานของว่างหลังจากนั้น
แต่หลายคนในกลุ่มอยากจะปลีกตัวกลับก่อนที่การพบปะจะจบด้วยซ้ำ ผมสงสัยว่าคงเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่ามีงานอื่นๆ
ที่น่าทำกว่า หรือพวกเขาอาจไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก็เป็นได้
มีวัดหลายวัดในเขตชานเมืองที่มีกำลังคนเพียงพอและมีการบริหารจัดการที่ดี
แต่ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรามีพระสงฆ์จำนวนน้อยมากที่มีเวลา มีความอดทน
และมีความสามารถที่จะเข้าถึงชีวิตของสัตบุรุษ เข้าถึงเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือเขาเหล่านั้นในแต่ละวันของการเดินทางฝ่ายจิตวิญญาณ
บางทีเรื่องที่ผมกล่าว
ดูจะให้ภาพในแง่ลบเท่านั้น แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลเหล่านี้ดอกหรือที่เป็นเหตุทำให้สัตบุรุษหันหลังให้วัด
และเข้าร่วมในกลุ่มความเชื่ออื่นๆ กลุ่มเหล่านั้นดูเหมือนจะให้ความรู้สึกของการเป็นชุมชน
มิตรภาพ และให้การสนับสนุนในด้านอารมณ์ความรู้สึก
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะมีกลุ่มใดและจำนวนเท่าไหร่ในวัดของเราที่รู้จริงๆ
ว่าความเชื่อของพวกเขานั้นคืออะไร พวกเขาดูจะไม่มีคำถามในใจเลย และยังไม่เคยค้นหาคำตอบที่แท้จริงอีกด้วย
พระศาสนจักรที่ไม่ใช้ความคิดนี้อาจเป็นที่ยอมรับได้ในช่วงยุคกลางเท่านั้น
แต่ในศตวรรษที่ 21 นี้ ผมสงสัยว่าจะมีคนสักกี่คนที่จะยังคงไปวัด ถ้าพวกเขาได้ตระหนักว่าการหาความเชื่อมโยงไม่ได้ระหว่างพิธีกรรมในวัด
กับชีวิตประจำวันของเขานั้น เป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว
แน่ละ ในปัจจุบันนี้มีการจัดหลักสูตรด้านเทววิทยาเพื่อให้การศึกษาแก่สัตบุรุษ
แต่หลักสูตรเหล่านั้นก็เป็นเพียงการให้ข้อมูลเท่านั้น หลายคนที่เข้าเรียนเห็นว่าเป็นแค่การเข้าฟังบรรยาย
ไม่มีส่วนใดในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียน
ผมคงไม่ได้ฟันธงว่าสิ่งเหล่านี้ผิดหรือถูก
แต่ผมรู้สึกได้และยังได้ยินว่าเยาวชนคนหนุ่มสาวของเราเข้าร่วมในพิธีกรรมที่ทางวัดจัดขึ้น
หรือจัดพิธีแต่งงานในวัดเพียงเพราะว่าพ่อแม่ของเขาต้องการเช่นนั้น พวกเขาไม่ได้เข้าใจความหมายของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรือชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเลย
บางคนถึงกับบอกว่าวัดของเราคงจะเป็นเช่นวัดในประเทศยุโรป คือวัดที่ว่างเปล่า
คนรุ่นต่อไปคงจะไม่มีใครเข้าวัด การมองเช่นนี้อาจเป็นการมองในแง่ร้ายก็ได้
แต่ก็ไม่ควรที่เราจะละเลยสัญญาณเตือนที่ได้เกิดขึ้น
ผมเชื่อว่าทางสันตะสำนักจะสามารถส่งเสริมชุมชนในวัดของเราด้วยวิธีการต่างๆ
ดังนี้ อันดับแรก คือการส่งเสริมให้พระศาสนจักรใช้ความคิด จิตวิญญาณที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ส่งเสริมให้ตั้งคำถาม
ทุกวันนี้ บรรดาผู้ที่เชื่อฟังอย่างไม่ลืมหูลืมตา ได้ผลิตพระศาสนจักรที่ประกอบด้วยผู้เลื่อมใสศรัทธาซึ่งไม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งท้าทายที่ยากลำบากของยุคสมัยได้
สันตะสำนักย่อมสามารถกระตุ้นเตือนบรรดาผู้ติดตามพระคริสต์ให้สำรวจจิตวิญญาณของตนเอง
กลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มพระจิต อาจเหมาะสมกับเพียงบางคน แต่เข้าไม่ถึงคนส่วนใหญ่
เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่จะนิยมการสวดภาวนาที่มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นส่วนประกอบ
ผมยังได้ยินว่าขณะนี้มีกลุ่มที่เรียกว่า
โอปุส เดอี ในเขตวัดของเราอีกด้วย ฆราวาสของเราบางคนเข้าร่วมกับกลุ่มนี้
แต่บางคนกลัวเพราะมีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่แสดงถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างบทบาทของ
โอปุส เดอี และพระศาสนจักรคาทอลิก บางทีทางสันตะสำนักอาจช่วยชี้แจงในเรื่องข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ได้
พระศาสนจักรท้องถิ่นจะสามารถสืบทอดต่อไปอย่างมีความหมายได้
หากพระศาสนจักรกล้าเผชิญกับคำถามต่างๆ ที่ยากจะตอบ เช่น พระสงฆ์มีบทบาทหน้าที่ในการเป็นผู้บริหารหรือเป็นมืออาชีพในเรื่องอื่นๆ
นอกเหนือจากการเป็นผู้อภิบาลหรืออะไรคือบทบาทของฆราวาส ในศตวรรษที่ 21
นี้ เราจะยังคงรับได้อยู่อีกหรือ หากว่าเรามีผู้นับถือศาสนาที่ตามืดบอด
เชื่อแต่ในสิ่งที่ถูกสั่งสอน และให้ความสำคัญกับรูปแบบพิธีกรรมที่ไม่มีเนื้อหา
สันตะสำนักอาจช่วยส่งเสริมชุมชนของเราด้วยการกระตุ้นให้คริสตชนแสวงหาจิตวิญญาณที่แท้จริง
โดยมากคนมักจะมีจิตใจที่ชอบโอ้อวดและวางตนเหนือผู้อื่น และการใช้อำนาจที่มักแสดงออกในแวดวงวัดของเราหรือในองค์กรในเขตวัดของเราเป็นเหตุให้คริสตชนถอยห่าง
ท่านอาจช่วยกระตุ้นพวกเราให้ค้นหาจิตวิญญาณแห่งการรับใช้อีกสักครั้งหนึ่ง
ผมเชื่อว่าพระศาสนจักรที่ขาดการถ่อมตน หรือไม่มีความสามารถที่จะเผชิญกับคำถามหินๆ
เช่นนี้ จะมีชีวิตรอดได้ไม่นานนัก ไม่มีใครเตรียมตัวที่จะยอมรับงานหนักที่กองสุมกันนี้อีกต่อไป
ฆราวาสจะค้นพบแนวทางใหม่ๆ แก่จิตวิญญาณของตน แนวทางที่ให้การยอมรับความเท่าเทียมกันของมนุษย์
แนวทางที่เปิดกว้างสำหรับความเชื่อและศาสนาอื่นๆ
ถ้าท่านกล่าวกับชาวอินเดียในศตวรรษที่
21 นี้ว่า พระศาสนจักรคาทอลิกคือผู้ครอบครองความจริงแต่เพียงผู้เดียวแล้วละก็
พวกเขาคงจะได้แต่หัวเราะ ประเทศซึ่งซับซ้อนเช่นอินเดียนี้ ได้ผ่านพัฒนาการของความเจริญรุ่งเรืองมานานนับศตวรรษ
มีความร่ำรวยและหลากหลายของวัฒนธรรม บ้างก็อาจพร้อมรับเอาขนบธรรมเนียมและจิตวิญญาณของเราเข้าไว้
แต่คนส่วนใหญ่ยังคงคลางแคลงใจว่าเรานั้นเข้ากันได้ดีกับยุคสมัยเพียงไร?
Upload 8 Sep 2005
|