ก้าวที่
18 : เมืองเยริโค
เช้าวันอังคารที่
17 เมษายน 2007 เราอำลาแคว้นคาลิลี อำลาทะเลสาบคาลิลี
ตอนพระอาทิตย์ขึ้น สวยมาก.ก.ก.ก.ก.ก.ก เสียดายแทนหลายคนที่พลาดโอกาสเช่นเรา
รำพึงถึงองค์
. . . ผู้ทรงพระฤทธิ์เดชา สร้างดาวดารา สร้างดินสร้างฟ้าธานี
อำลาเมืองทิเบอเรียส
มุ่งหน้าลงใต้สู่ภาคกลาง คือแค้วนยูเดีย โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 90 จุดหมายคือกรุงเยรูซาเล็ม
รถเราแล่นตามแนวแม่น้ำจอร์แดนฝั่งทิศตะวันตก ระยะทางจากคาลิลีถึงกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 180 กิโลเมตร
ขณะนี้ผ่านทางแยก Bet She'an มุ่หน้าไปยัง แค้วนซามาเรีย
ผ่านที่ราบลุ่มแม่น้ำจอร์แดน แหล่งเกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์
สวนส้มและสวนปาล์ม
ภูเขาและทะเลทราย
มาถึงเมืองเยริโค เขตยึดครองเวสท์แบงค์
ชุมชนชาวปาเลสไตน์ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม
เมืองเยริโค เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดในโลก อายุกว่า 10000 ปี (หมื่นปี) มีมาก่อนบาบิโลเนียและอียิปต์ อารยธรรมต่างๆ เกิดที่นี่มากมาย ถึงแม้จะเป็นทะเลทราย แต่ก็มีแหล่งน้ำพุใหญ่พอที่จะหล่อเลี้ยงประชากรมาตลอด ทำให้ผืนดินชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์
ตั้งแต่การเข้ามาสู่ดินแดนพันธสัญญา โยชัวนำชนชาวอิสราเอลจากประเทศอียิปต์ ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และเข้าล้อมเมืองเยริโค โยชัวให้ทุกคนเดินรอบเมืองวันละครั้งหกวัน โดยมีบรรดาสมณะแบกหีบพันธสัญญานำหน้า วันที่เจ็ดเดินเจ็ดรอบ เมื่อสมณะเป่าแตร ประชาชนก็โห่ร้องพร้อมกัน ทันใดกำแพงเมืองก็พังทะลายลง
(ยช 6:12-21 )
|
ในพระคัมภีร์เก่า มีเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเยริโคหลายตอน
พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองเยรีโคพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะที่พระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโค พร้อมกับบรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมาก บารทิเมอัส - บุตรของทิเมอัส คนขอทานตาบอดนั่งอยู่ริมทาง
เมื่อได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา เขาก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกนว่า 'ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิด เจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด'
หลายคนได้ดุเขาให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า 'พระโอรสของกษัตริย์ดาวิด เจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด'
พระเยซูเจ้าทรงหยุดตรัสว่า 'ไปเรียกเขามาซิ' เขาก็เรียกคนตาบอดพลางกล่าวว่า'ทำใจดีๆไว้ ลุกขึ้น พระองค์กำลัง เรียกเจ้าแล้ว'
คนตาบอดก็สลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดเข้าไปเฝ้าพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าตรัสว่า 'เจ้าอยากให้เราทำอะไรให้เจ้า?' คนตาบอดทูลว่า 'รับบูนี ให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด'
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า 'ไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้ช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว'
ทันใดนั้น เขากลับแลเห็น และเดินทางติดตามพระองค์ไป
(มก 10:46-52)
|
พระเยูเจ้าเคยเสด็จผ่านเมืองเยริโคหลายครั้ง ในการเสด็จลงมายังกรุงเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย พระองค์ได้รักษาคนตาบอดคนหนึ่ง
พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยริโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น
มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งคั่ง
เขาพยายามดูว่าใครเป็นพระเยซูเจ้า แต่ก็ไม่สามารถจะเห็นได้เพราะมีคนมากและเขาเป็นคนร่างเตี้ย
เขาจึงได้วิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อดูให้เห็นพระเยซูเจ้า
เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นทอดพระ เนตรและตรัสกับเขาว่า 'ศักเคียส จงรีบลงมาเถิด เพราะเราจะต้องไปพักที่บ้านท่านในวันนี้' เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี
ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า 'เขาไปพักที่บ้านคนบาป' ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า 'พระเจ้าข้า ข้าพเจ้ายกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนยากจน และถ้าข้าพเจ้าได้โกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า'
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า 'วันนี้ ความรอดพ้นได้มาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะว่าคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วยบุตรแห่งมนุษย์ได้มาเพื่อแสวงหาและช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น'
(ลก.19:1-10)
|
และพักค้างที่บ้านของซัคเคียส คนเก็บภาษีด้วย
เรามาถึงเมืองเยริโคประมาณ 9.30 น. ยังเช้ามาก ตามโปรแกรม ที่เยริโค เราจะเดินทางขึ้นภูเขาแห่งการทดลอง รับประทานอาหารกลางวัน และไปทะเลตาย ลงน้ำเพื่อพิสูจน์ความเค็มและการลอยตัว พอกโคลนดำ ก่อนไปกรุงเยรูซาเลม
เมืองเยริโคอยู่ห่างจากกรุงเยรูาเล็ม 40 ก.ม. หรือระยะเดินเพียง 1 วัน
ไกด์บอกว่ายังเช้ามาก จะขอพาไปชมศูนญ์จำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวผลิตจากเกลือและแร่ธาตุสกัดจากน้ำในทะเลตาย นำความยินดีมาสู่บรรดานักช้อปทั้งหลายถ้วนหน้า แทนที่จะเข้าเมืองเยริโค รถแล่นเลยลงไปทางใต้อีกประมาณ 25 ก.ม. ก็มาถึงที่หมาย
เชิญพบคุณแดง
ตอนที่ 18 |