ก้าวที่
44 : วัดพระเยซูเจ้าทรงกรรแสง
จากกรุงเยรูซาเล็มผ่านประตูสิงโต เดินข้ามสะพานข้ามห้วยขีดโรน ขึ้นภูเขามะกอกเทศ ทางวัดนานาชาติ
จะผ่านวัดคาทอลิกเล็กๆ หลังหนึ่ง ในความดูแลของนักบวชคณะฟรังซิสกัน
ชื่อ วัดพระเยซูเจ้าทรงกันแสง (ภาษาลาติน Dominus Flevit)
หรือเมื่อเดินลงมาจากภูเขามะกอกเทศ เพื่อเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
จากการบอกเล่าสั้นๆของนักบุญลูกา ขณะนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม (จากภูเขามะกอกเทศ)
ทอดพระเนตรเห็นเมืองแล้ว ก็ทรงกรรแสง ........
(ลก. 19:41-44)
คริสตชนในยุคแรกจึงได้สร้างวัดขึ้น ณ จุดนี้ ต่อมาในสมัยไบเซนไทน์ ศตวรรษที่ 5 ได้มีการสร้างอารามและวัดขึ้นมาแทน แต่ก็ถูกทำลายลงโดยชาวเปอร์เซีย
จนถึงสมัยครูเสด จึงได้สร้างวัดเล็กๆ ขึ้นใหม่ แต่อีกไม่นาน เมื่อพวกอาหรับเข้ามายึดครอง
วัดจึงถูกเปลี่ยนเป็นสุเหล่าและโรงเรียน ชื่อ เอล มานสุเรีย หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งร้าง และเป็นบ้านที่อยู่อาศัย
จนถึงปี 1891 นักบวชฟรังซิสกันได้มาซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงเพื่อสร้างวัดเล็กๆ หลังหนึ่ง
และต่อมาก็ได้ขอซื้อที่บ้านส่วนตัวและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นบริเวณวัดปัจจุบัน
ปี 1953 วัดหลังใหม่ถูกออกแบบและก่อสร้างตรงตำแน่งที่เป็นซากวัดสมัยไบเซนไทน์
วัดหลังปัจจุบันมีลักษณะพิเศษ คือ มีโดมเป็นรูปหยดน้ำตา ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อดัง
ที่ออกแบบวัดบนภูเขามหาบุญลาภ และวัดพระมหาทรมาน
ขณะก่สร้างก็ได้ขุดพบถ้ำและหลุมศพและหีบศพในศตวรรษแรกมากมาย
ภายในวัดขณะเวลามิสซา
พระแท่นหันหน้าไปทางกรุงเยรูซาเล็ม
หน้าต่างเปิดให้เห็นกรุงเยรูซาเล็มชัดเจน ในลักษณะเดียวกันกับที่พระเยซูเจ้าเคยมองและร้องไห้
โดมมองจากภายในวัด
ทางเข้าวัด จะเห็นพื้นกระเบื้องโมเสคสมัยไบเซนไทน์ |